นพ.ดุสิต ลิขนะพิชิตกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ กล่าวว่า ในวัยเด็กปัญหาสุขภาพจิตที่น่าห่วงอย่างยิ่ง นอกเหนือจาก โรคออทิสติก ที่มีผู้ป่วยรายใหม่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ปีละไม่น้อยกว่า 200 -300 คน คือ ปัญหาสมาธิสั้น และอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ หรือโรคแอลดี (Learning Disabilities) ที่จะเกิดขึ้นควบคู่กัน ปัจจุบันพบประมาณ 10 คน จาก 100 คน และอาจะมีแนวโน้มสูงขึ้น และยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคที่ชัดเจน เบื้องต้นน่าจะเกิดจาก
1. การทำงานของสมองบางตำแหน่งบกพร่อง โดยเฉพาะตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และการใช้ภาษา
2. กรรมพันธุ์ มีพ่อแม่ หรือญาติพี่น้องมีปัญหาเดียวกัน
3. ความผิดปกติของโครโมโซม
นอกจากนี้ เด็ก LD มักมีปัญหาทางจิตเวชอื่น ๆ ที่พบร่วมกันได้ถึงร้อยละ 40 – 50 เช่น โรคสมาธิสั้น ความบกพร่องด้านภาษาและการสื่อสาร ปัญหาการประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือและสายตา
ข้อสังเกตอาการของเด็ก LD
1.ความบกพร่องด้านการอ่าน
– ความบกพร่องด้านการอ่านเป็นปัญหาที่พบได้ มากที่สุดของเด็ก LD ทั้งหมด
– เด็กมีความบกพร่องในการจดจำ พยัญชนะ สระ และขาดทักษะในการสะกดคำ
– เด็กมักอ่านหนังสือไม่ออกหรืออ่านช้า อ่านออกเสียงไม่ชัด ผันเสียงวรรณยุกต์ไม่ได้ อ่านข้าม อ่านเพิ่มคำ – จับใจความเรื่องที่อ่านไม่ได้
– ทำให้เด็กกลุ่มนี้มีความสามารถในการอ่านหนังสือต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกัน อย่างน้อย 2 ระดับชั้นปี
2. ความบกพร่องด้านการเขียนสะกดคำ
– ความบกพร่องด้านนี้ส่วนใหญ่จะพบร่วมกับความบกพร่องด้านการอ่าน
– เด็กมีความบกพร่องในการเขียนพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ไม่ถูกต้อง
– มักเรียงลำดับอักษรผิด จึงเขียนหนังสือและสะกดคำผิด ทำให้ไม่สามารถแสดงออกผ่านการเขียนได้
– ตามระดับชั้นเรียน เด็กกลุ่มนี้จึงมีความสามารถในการเขียนสะกดคำต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่าง น้อย 2 ระดับชั้นปี
3. ความบกพร่องด้านคณิตศาสตร์
– เด็กขาดทักษะและความเข้าใจค่าของตัวเลข การนับจำนวน การจำสูตรคูณ การใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์
– เด็กไม่สามารถคำนวณคำตอบจากการบวก ลบ คูณ หาร ตามกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ได้
– เด็กกลุ่มนี้จึงมีความสามารถในการคิดคำนวณ ต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างน้อย 2 ระดับชั้นปี
ความรู้สึกของเด็ก LD ที่มีต่อตนเอง
ข้อมูลจากโรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวถึง ความรู้สึกของเด็ก LD ที่มีต่อตนเองไว้ว่า เด็กมักรู้สึกว่าตนเองเรียนไม่เก่ง มีปมด้อย มีอารมณ์เศร้า บางครั้งเมื่อถูกบังคับให้ทำงานซ้ำ ๆ หรือเรียนพิเศษ เด็กก็จะต่อต้านการเรียน ไม่อยากไปโรงเรียน เด็กมักพูดจาฉลาดโต้ตอบได้ดี แต่พอให้อ่าน เขียน คำนวณ กลับทำได้ไม่ดี ซึ่งอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่เข้าใจ ดุว่าเป็นเด็กขี้เกียจ ดื้อ เกเร เด็กบางคนก็อายที่ทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ แต่ไม่อยากให้ใครรู้ ก็เลยปฏิเสธการทำสิ่งต่าง ๆ ที่ทำไม่ได้ เด็กมักรู้สึกหงุดหงิดและรู้สึกด้อยที่ตนเองทำไม่ได้ทัดเทียมเพื่อน ๆ และอาจจะแสดงพฤติกรรม ดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการอ่านการเขียน
2. ไม่มีสมาธิในการเรียน ทำงานช้า ทำงานไม่เสร็จทำงานสะเพร่า
3. ความจำไม่ดี เรียนได้หน้าลืมหลัง
4. รู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้
5. ไม่มั่นใจในตนเอง มักตอบว่า “ทำไม่ได้” “ไม่รู้”
6. อารมณ์ ขึ้น ๆ ลง ๆ หงุดหงิดง่าย ไม่อดทน
7. ก้าวร้าวกับเพื่อน พี่น้อง ครู หรือพ่อแม่
8. ขาดความภาคภูมิใจในตนเอง
แนวทางการช่วยเหลือทางการแพทย์
1. พาลูกไปพบคุณหมอ คุณหมอจะทำการซักประวัติอย่างละเอียดจากคุณพ่อคุณแม่ มีแบบสอบถามให้คุณครูของเด็กตอบ มีการวัดระดับเชาวน์ปัญญา วัดความสามารถทางการเรียนด้านต่างๆ
2. ตรวจร่างกายและทดสอบทางจิตวิทยา และผลสัมฤทธิ์ในการเรียน
3. ให้ความรู้ความเข้าใจ ช่วยเหลือเด็กและครอบครัวทางด้านจิตใจ
4. ถ้าเด็กมีภาวะอื่นร่วมด้วย เช่น สมาธิสั้น ซึมเศร้า คงต้องให้ยาเพื่อรักษาโรคเฉพาะ
5. การบำบัดทางเลือกอื่น ๆ เช่น ศิลปะบำบัด การกระตุ้นระบบประสาทและความรู้สึก
คุณหมอฝากบอก
การช่วยเหลือทำได้ด้วยการตรวจหาให้เจอเร็วที่สุด หรือตั้งแต่ยังมีอาการน้อย โดยหากลูกมีอาการสมาธิสั้น จดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ไม่ต่อเนื่อง ซุกซนเกินกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด และหุนหันพลันแล่น ใจร้อนคอยไม่เป็น พ่อแม่ควรรีบพาไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษา ซึ่งจะต้องใช้ยา หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือ ทั้งสองวิธีควบคู่กัน หากไม่ทำการรักษาจะส่งผลให้มีพฤติกรรม ที่ไม่พึงประสงค์
แนวทางการช่วยเหลือทางด้านการศึกษา
1.โรงเรียนควรจัดทำแผนการเรียนรายบุคคลให้สอดคล้องกับระดับความบกพร่องของเด็ก แต่ละด้านโดยทำความเข้าใจกับครูถึงปัญหาและความบกพร่องของเด็ก
2. เน้นการสอนเสริมในทักษะที่บกพร่อง เช่น การสะกดคำ อ่าน เขียนสอนเป็นกลุ่มย่อยหรือตัวต่อครั้งละ 30-45 นาที สัปดาห์ละ 4-5 วัน
3. การช่วยอ่านบทเรียนให้ฟัง เพื่อให้เด็กได้เนื้อหา ความรู้ ได้เร็วขึ้น
4. การให้เวลาในการทำสอบเพิ่มขึ้น เพื่อให้เด็กมีเวลาเพียงพอในการ อ่านโจทย์ และเขียนตอบ จะช่วยให้เด็กเรียนได้ดีขึ้น
5. ส่งเสริมทักษะด้านอื่นๆ ที่เด็กสนใจ เช่น ดนตรี กีฬา ศิลปะ เพื่อให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง
แนวทางการช่วยเหลือของครอบครัว
1. อธิบายให้เด็กและครอบครัวทราบถึงปัญหาและความบกพร่องเฉพาะด้านของเด็ก รวมทั้งความรู้สึกของเด็กที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ
2. เปลี่ยนพฤติกรรมจากการตำหนิ ลงโทษ เป็นความเข้าใจ และสนับสนุนในการส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของเด็ก
3. ชื่นชมเมื่อเด็กทำสำเร็จแม้ในเรื่องเล็กน้อยเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง
หากเด็กได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ และรักษาตามแนวทางที่ถูกวิธี เด็กจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นและสามารถหายได้ เพียงแต่ต้องอาศัยความรักและความเข้าใจ รวมถึงการให้กำลังใจลูกในทุก ๆ ทาง
เราทุกคนสามารถติดต่อหรือสอบถามข้อมูลชมรมฯได้หลายช่องทาง สามารถเลือกได้ตามความสะดวก
สถานที่ตั้งชมรมผู้ปกครองบุคคลบกพร่องทางการเรียนรู้ จังหวัดนครสวรรค์ ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 206 หมู่ที่ 3 ตำบล หนองกรด อำเภอ บรรพตพิสัย จังหวัด นครสวรรค์ รหัสไปรษณีย์ 60180
ld nakonsawan
Tel : 093-2751308